โลกออนไลน์

ว่าด้วยการตามติดโลกออนไลน์ มันเหนื่อยล้าแค่ไหน กับวิธีพักสมองจากโลกโซเชียลฯ

เคยมั้ย? เวลาเราก้มหน้าเล่นโทรศัพท์แป๊บเดียว ก็วาปไปอนาคตอีก 2-3 ชั่วโมง เราไปสนใจเรื่องของคนอื่นยาวนานถึงขนาดนี้เลยเหรอ? กลายเป็นนักกเดินทางข้าม กาลเวลาไปซะแล้ว และขึ้นชื่อว่า เทคโนโลยี มันก็ต้องมีแต่เรื่องดีๆ ยิ่งสมัยนี้ มีมือถือสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว ก็สามารถที่จะทำอะไรได้หลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน

ไม่ว่าจะเป็น เสพข่าวสารที่เป็นกระแสบนโลกโซเชียล หรือจะติดต่อกับเพื่อนหรือคนรู้จัก อีกซีกโลก หรือแม้แต่ใช้ในการเดินทาง เพื่อไม่ให้หลงทางก็ทำได้ แต่มันก็คือดาบสองคมอีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพกาย สุขภาพจิต และยังชิงเวลาชีวิตของเราไป โดยการเสพติดข้อมูลมากมาย ในโลกอินเทอร์เน็ต แล้วแบบนี้ มันจะไม่ให้หนักสมองได้อย่างไรกัน

โลกออนไลน์
คอนเทนต์บนโลกโซเชียลส่งผลกับสมองเราด้วยเหรอ?

มนุษย์เราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเข้าสังคม สมองของเรามีเครือข่ายของเซลล์ประสาทที่เหนี่ยวนำให้เราสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่นมาตลอด ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยใดก็ตาม ซึ่งทุกอย่างนี้เกิดขึ้นที่สมองส่วนหน้า ที่อยู่ข้างหลังหน้าผากของเรานี่เอง เริ่มจากวัยแรกเกิดจนถึงวัยเด็ก เราต้องการความสนใจจากผู้ใหญ่

เพื่อที่จะช่วยให้สมองส่วนหน้าของเราเติบโตขึ้น เราเรียนรู้ที่จะเข้าหาผู้คน อันนำมาส่ช่วงวัยรุ่นที่หลายคนเรียกว่าวัยต่อต้าน ถึงจะอยากเป็นหมาป่าเดียวดายขนาดไหน แต่วัยรุ่นก็เป็นวัยที่เราต้องการยอมรับจากกลุ่มเพื่อนมากที่สุด จนกระทั่งเติบโตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เราก็ยังต้องการสายใยความสัมพันธ์กับผู้อื่นอยู่ดี เรามีเพื่อนที่สนใจในสิ่งเดียวกัน

เราร่วมงานกับคนอื่นเพื่อสร้างสรรค์ผลงานสุดเจ๋ง เราเชื่อมโยงกับคนที่เรารักไปด้วยกันตลอดชีวิต Carl Marci จิตแพทย์และนักประสาทวิทยาของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดได้กล่าวไว้ในหนังสือ Rewired: Protecting Your Brain in the Digital Age ว่า สมองส่วนหน้าของเราเป็นส่วนที่แทบจะสำคัญที่สุด และสมองส่วนหน้าที่ ‘แข็งแรง’ คือ ความแตกต่างระหว่างความเข้าใจกับแรงกระตุ้น สมาธิและความฟุ้งซ่าน

รวมไปถึงปฏิกิริยาตอบโต้และการสะท้อนตัวเอง แม้ว่าสมองส่วนหน้าไม่ได้เป็นจุดกำเนิดของอารมณ์ แต่มันช่วยให้เราตีความสิ่งต่างๆ ในโลกที่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายรูปแบบได้ และยังส่งผลกับความสามารถในการสร้างสายสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วย แต่ในยุคที่เราถูกรายล้อมไปด้วย ข้อมูลจากโลกอินเทอร์เน็ต กำลังทำให้สมองส่วนหน้าของเรา ‘เหนื่อยล้า’

เมื่อสมองส่วนหน้ากำลังจะรับไม่ไหว

เราเข้าใจว่าโลกนี้มันแสนเหงา โทรศัพท์มือถือเลย แทบจะกลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิต แต่การใช้มันมากเกินไปอาจหมาย ถึงการที่ปล่อยให้มันมาครอบงำอารมณ์ของเรา สังเกตได้ว่าเราจะไม่ทนกับความเบื่อที่เกิดขึ้นอีกต่อไป เพราะเราไม่จำเป็นต้องทน แค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าแอปฯ อะไรสักอย่าง การกระตุ้นสมอง และการให้รางวัลสมองก็เกิดขึ้นได้แค่ปลายนิ้วแล้ว

และไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่การพิมพ์คุยกันเริ่มมาทดแทนการคุยกันแบบต่อหน้า หรือเกมในโทรศัพท์เริ่มเบียดบังเวลาที่เราจะได้ใช้กับครอบครัว คอนเทนต์หลากหลายในโลกออนไลน์เริ่มทำให้สายใยระหว่างเพื่อนนั้นเบาบางลง และที่สำคัญคือมันกำลังทำให้สมองส่วนหน้าของเรารู้สึกสับสน เรากำลังอยู่ในโลกที่มีความเสี่ยง

ที่จะสร้างพฤติกรรมที่ส่งผลกับสมอง โดยไม่รู้ตัว และพฤติกรรมเหล่านี้ บางครั้งก็แปรเปลี่ยนไปสู่การ ‘ขาดไม่ได้’ เพราะสมองส่วนหน้าของเราไม่สามารถต้านทานสิ่งล่อใจในโทรศัพท์มือถือได้ เราอาจสังเกตตัวเองได้ว่าเมื่อมีการแจ้งเตือนเข้ามาเมื่อไหร่ เราก็อยากจะหยิบมันขึ้นมาดูเมื่อนั้นว่าเป็นข้อความของใครกันนะ หรือเราอยากจะดูวิดีโอในขณะที่ชีวิตจริงก็กำลังทำอย่างอื่นอยู่

โซเชียลมีเดียส่วนใหญ่ถูกออกแบบมา เพื่อกระตุ้นให้เราต้านทานไม่อยู่ และอยากจะกดกลับเข้ามาในแอปฯ อีกครั้ง ซึ่งนั่นไม่ส่งผลดีกับสมองส่วนหน้านัก เพราะเป็นทั้งต้นตอของความเครียด ความเศร้า ความหลงตัวเอง และความเหงา แต่ถ้าเรารู้เท่าทันตัวเอง และสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือของเราได้ สมองส่วนหน้าของเราก็จะกลับมาแข็งแรงขึ้นดังเดิม

พฤติกรรมที่ลองตัดทิ้งไป แล้วทำให้สมองกลับมาสดใสอีกครั้ง

ให้เวลาสมองได้พักจากการสลับแอปฯ ไปมาบ้าง: Doreen Dodgen-Magee นักจิตวิทยาได้ให้คำแนะนำไว้ว่า ทันใดที่เราหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เรากดเข้าไปดูข้อความ เสร็จแล้วก็แวะเช็คฟีดข่าวอีกนิด นั่นแจ้งเตือนโปรโมชั่นจากแอปฯ ซื้อของ ต้องกดเข้าไปเลือกของใส่ตะกร้าสักหน่อย การที่เรากระโดดไปมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุด

สมองของเราจะจำรูปแบบการสลับแอปฯ ไปมาแบบนี้ แล้วทำซ้ำวนไนั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเราถึงสลับแอปฯ และรีเฟรชหน้าฟีดใหม่อยู่อย่างนั้น เธอจึงแนะนำให้เราตัดใจจากวงจรนี้ เมื่อเริ่มรู้ตัวว่ากำลังสลับแอปฯ อย่างไร้จุดหมาย ให้ตัดวงจรของมันในทันที กำลังรู้สึกไม่พอใจ? อย่าเพิ่งโพสต์: โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ส่วนตัว ที่สามารถพิมพ์อะไรก็ได้ตามใจเราก็จริง

แต่การพิมพ์ด่าใครสักคนขึ้นมาลอยๆ นั้นเป็นเหมือนการแผ่พลังงานลบออกมา ให้กับใครก็ตามที่มาอ่านโดยไม่ตั้งใจ นอกจากจะส่งผลไม่ดีกับคนที่มาอ่านแล้ว ยังส่งผลไม่ดีกับตัวเราในด้านของการจัดการอารมณ์ของตัวเองอีกด้วย ครั้งหน้าอาจลองพูดคุยกับตัวเองหน้ากระจกแทน ว่าตอนนี้เรารู้สึกอย่างไร เราอยากทำอะไรกับเรื่องนี้ และเราจะจัดการกับความรู้สึก ไม่พอใจนี้อย่างไรดี

ลองเปลี่ยนจากการพิมพ์ เป็นการโทรคุย: การพิมพ์คุยกันนั้นสะดวกก็จริง เราสามารถทิ้งข้อความเอาไว้ แล้วอีกฝ่ายว่างเมื่อไหร่ค่อยมาตอบก็ได้ ไม่เหมือนการโทรที่ต้องรอให้ว่างพร้อมกันทั้งคู่ แต่การพิมพ์คุยกันก็ทำให้เราห่างเดินจากการโทร จนรู้สึกไม่คุ้นชิน และเกิดอาการกลัวการโทรคุยกับใครสักคนไปในที่สุด

การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพคือการได้พูดคุยกัน ได้จับความรู้สึกจากน้ำเสียง ได้อ่านบรรยากาศ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในซอฟต์สกิลที่สำคัญ ลองวางมือถือขณะทำกิจกรรมอื่น: เมื่อทุกอย่างอยู่ที่ปลายนิ้ว การจะวางมือถือทิ้งไว้ระหว่างที่กำลังเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ หรือกินข้าวนั้นเป็นเรื่องยากมาก Dodgen-Magee ก็ยังแนะนำอีกว่าการทำหลายอย่างในคราวเดียวกันนั้น

ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับสมอง ลองจดจ่อทีละหนึ่งอย่าง แล้วจะรู้สึกว่าเบาสมองลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงแม้ว่าจะมีความกังวลเกิดขึ้นว่าผลกระทบของโทรศัพท์และโซเชียลมีเดียจะรบกวนชีวิตและสมองของเรา แต่มันก็ไม่ได้ไม่ดีไปเสียหมด เพราะมนุษย์มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกเพื่อใช้ชีวิตร่วมกับสิ่งใหม่ๆ อยู่แล้ว

ขอบคุณแหล่งที่มา : thematter.co

สามารถอัพเดตข่าวสารเรื่องราวต่างๆได้ที่ : profantasy-football.com